ถ้าใครต้องการแก้ปัญหาผิวโทรม มีริ้วรอย รอยสิว ผิวไม่ตึงกระชับได้อย่างตรงจุด เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน การใช้นวัตกรรมความงามด้านการแพทย์ก็จะช่วยให้ผิวสวยใสขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเลยล่ะค่ะ เราสามารถเปลี่ยนผิวโทรม มีรอยเหี่ยวย่น ให้กลับมาสวยใสตึงกระชับได้ทันที เพียงใช้เทคนิคความงามที่เรียกว่า ‘การฉีด PRP’ ซึ่งเป็นการฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือดค่ะ วันนี้เรามารู้จักกับ PRP (Platelet-Rich Plasma Treatment) กันดีกว่า
PRP (Platelet-Rich Plasma) คืออะไร?
PRP หรือ Platelet-Rich Plasma Treatment เป็นเทคนิคใหม่ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการรักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกายและสภาพผิวด้วยเกล็ดเลือด วิธีนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการดารานักแสดงทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพราะไม่ต้องเจ็บตัว ใช้การเจาะเลือดในปริมาณเล็กน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ผิวสวยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยปกติการรักษาด้วยการฉีด PRP หรือ Platelet-Rich Plasma Treatment จะเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมและศัลยกรรมกระดูกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งถ้าเป็นการรักษาทางด้านความงามเพื่อฟื้นฟูสภาพผิว จะต้องนำเลือดของผู้เข้ารับการรักษาเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเกล็ดเลือดในกระแสโลหิตทั่วไป 3 – 4 เท่า เนื่องจากจะเป็นเกล็ดเลือดที่เหมาะสมในการนำมารักษาสภาพร่างกาย ผิวพรรณที่มีการเสื่อมสภาพตามวัย เพราะในเลือดจะมีสารที่เรียกว่า ‘Growth Factor’ ซึ่งเป็นสารกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast สร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ทำให้ผิวพรรณอ่อนกว่าวัย กระจ่างใส กระชับเต่งตึง
การรักษาด้วยการฉีด PRP
การฉีด PRP หรือ Platelet-Rich Plasma Treatment มีประโยชน์ในการรักษาและซ่อมแซมร่างกาย รวมทั้งผิวพรรณ ซึ่งสามารถจำแนกประโยชน์ในการรักษาด้วยการฉีด PRP ออกเป็น 3 ประเภทได้ดังนี้
-ใช้ในนวัตกรรมด้านความงาม เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว ให้กลับมากระจ่างใส ไร้ริ้วรอย ผิวยืดหยุ่นตึงกระชับ
-ใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อ อาทิเช่น รักษากล้ามเนื้อต้นขาด้านนอก, รักษากล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง และรักษากล้ามเนื้อน่อง
-ใช้ในการักษาอาการบาดเจ็บส่วนอื่น เช่น เอ็นอักเสบ, กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม, โรคข้อเข่าเสื่อม, โรคข้อสะโพกเสื่อม และรักษารองช้ำ เป็นต้น
-ประโยชน์และผลลัพธ์ที่ได้จาก ‘การฉีด PRP’ เพื่อความงาม
-ช่วยฟื้นฟูบำรุงสภาพเซลล์ผิว ให้ผิวหน้ากระจ่างใส ฉ่ำน้ำ ดูอ่อนกว่าวัย
-ช่วยให้ผิวที่เคยแห้ง มีความชุ่มชื้นมากขึ้น
-ช่วยรักษาผิวที่เสื่อมสภาพกลับมาแข็งแรง ช่วยให้ใบหน้าตึงกระชับ ยืดหยุ่น มีความเรียบเนียน
-ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ให้ผิวแข็งแรง เปล่งปลั่ง อิ่มฟูน่าสัมผัส
-ช่วลดเลือนริ้วรอย ฝ้า กระ ลดรอยสิว หลุมสิว รอยแดง จุดด่างดำบนใบหน้า และรักษาผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะ
การฉีด PRP เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
-มีปัญหาใต้ตาคล้ำ มีร่องแก้ม
-มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก หางตา หรือลำคอ
-มีปัญหารอยสิว รอยหลุมลึก ฝ้า กระ มีแผลเป็นบนใบหน้า
-มีปัญหาผิวแห้ง ขาดน้ำ ไม่ชุ่มชื้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ‘การฉีด PRP’
-การฉีด PRP หรือการทำ PRP Treatment ใต้ผิวหนังจะใช้ระยะเวลาการรักษาประมาณ 30 – 45 นาที หรือ 1.30 ชั่วโมง แตกต่างไปตามวิธีการรักษาแต่ละคลินิก
-แม้ว่าในกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติจะค่อย ๆ เห็นผลลัพธ์ขึ้นมาทีละนิดจากวันที่เริ่มฉีด แต่โดยปกติแล้วจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่หลังการฉีด PRP ไปแล้ว 2 – 4 สัปดาห์ ซึ่งควรจะกลับมาฉีดกระตุ้นซ้ำอีก 2 – 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในแต่ละครั้งประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
-ผลลัพธ์จากการฉีด PRP จะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง
-โดยปกติการฉีด PRP จะฉีดได้ทั่วหน้า เน้นในจุดที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ร่องแก้ม หลุมสิว
-ปริมาณเลือดที่เจาะสำหรับการทำ PRP จะอยู่ประมาณ 15 – 20 CC. หรือ 30 – 60 CC. แล้วแต่คลินิก
-หลังทำ PRP Treatment ผิวอาจมีอาการบวมเล็กน้อย 2 – 3 วัน แต่จะสามารถหายไปเองในระยะเวลาไม่นาน
-ก่อนการทำ PRP ทุกครั้ง ควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน ให้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และแจ้งประวัติโรคประจำตัว ประวัติการทานยาหรืออาหารเสริม
‘การฉีด PRP’ ไม่เหมาะกับใคร?
-ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำมาก มีภาวะเลือดออกง่าย ไม่แข็งตัว
-ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ
-ผู้ที่มีโรคทางภูมิคุ้มกันต่อตนเอง
-ผู้ที่ติดเชื้อในกระแสเลือด
-ผู้ที่ทานยาสลายลิ่มเลือด ทานวิตามินอี หรือสารที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัว
-ผู้ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์
-ผู้ที่มีระบบการไหลเวียนของเลือดไม่สมดุล
วิธีดูแลตัวเอง ‘ก่อน’ ฉีด PRP
-นอนพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
-ดื่มน้ำให้มาก ๆ ประมาณ 2 – 3 ลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดมีความข้นหนืด
-งดการออกกำลังกายก่อนการรักษา 24 ชั่วโมง และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการรักษา 2 – 3 วัน
-ห้ามรับประทานยาในกลุ่ม NASIDs เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ก่อนทำประมาณ 1 สัปดาห์
-งดฉีดยากลุ่ม Corticosteroid อย่างน้อย 1 เดือน
-เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพ ควรได้รับวิตามินซี 1 สัปดาห์ก่อนการรักษา
วิธีการดูแลตัวเอง ‘หลัง’ ฉีด PRP
-เลี่ยงการล้างหน้าภายใน 4 – 5 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา และงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 1 วัน
-หลีกเลี่ยงการทำครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA และสาร Whitening อื่น ๆ
-เลี่ยงการนวดหน้า ขัดหน้า ซาวน่า และอบไอน้ำ
-เลี่ยงการออกกำลังกาย การทำกิจกรรม การโดนแดด 2 – 3 วัน
-บางคนอาจมีอาการบวม 2 – 3 วัน แต่จะหายได้เอง สามารถประคบน้ำแข็งเพื่อลดอาการบวม หรืออักเสบได้
-ดื่มน้ำ 3 – 4 แก้ว หรือดื่มน้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย ป้องกันอาการมึนงง อ่อนเพลีย