หลายคนที่ประสบปัญหาสิว รักษาใกล้จะหายแล้วแต่อยากทำทรีทเมนต์ แต่ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะไปกระตุ้นสิวให้เพิ่มขึ้นอีกรึเปล่า วันนี้เรามีคำตอบ!! พญ.นิภาพรรณ ผลบุญ (หมอโบว์) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงามจากเศรณีคลินิก อธิบายว่า คนเป็นสิวสามารถทำทรีทเม้นท์ได้ แต่ต้องเหมาะสมและอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สิวและรอยแผลหลังเกิดสิวหายได้เร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของสิวด้วย ทรีทเมนต์สำหรับคนเป็นสิวมีหลายประเภท มาดูกัน
1. ทรีทเม้นท์ผลัดเซลล์ผิว (Facial Peeling)
คือการทาตัวยาที่สกัดจากกรดผลไม้เช่น AHA BHA กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำหรือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและร่างกายไม่สามารถผลัดออกไปได้ให้ค่อยๆ หลุดออกไปอย่างช้าๆ ลดการเกิดสิวอุดตัน รูขุมขนกระชับ ลดความมันบนใบหน้า ลดเลือนรอยด่างดำ และริ้วรอยได้เป็นอย่างดี แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ผิวแพ้ง่ายต้องระวัง หากทาทิ้งไว้นานเกินไปหรือตัวยาเข้มข้นไปอาจทำให้ผิวแสบไหม้ได้ จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
2. Seranee Deep Peeling
ช่วยผลัดเซลล์ผิวลึกกว่า Chemical Peeling ทั่วไป จึงช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดการอักเสบของสิวเดิม ลดรอยดำจากกระ ฝ้า ช่วยลดเลือนและชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย
3. PDT Blue light
เป็นเทคโนโลยีการฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อสิว พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดเชื้อ P. acnes สาเหตุของการเกิดสิวอย่างได้ผล เหมาะกับคนไข้สิวทุกประเภท เนื่องจากไม่รบกวนหรือกระตุ้นผิวหน้าแต่อย่างใด
4. เลเซอร์ / IPL
ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ ชะลอวัย ลดการเกิดรอยเหี่ยวย่น และยังสามารถนำมาใช้ในการรักษาสิวอักเสบ รอยแดงและรอยดำได้อีกด้วย ภายหลังการทำเลเซอร์หรือ IPL ควรให้ความชุ่มชื้นกับผิวเพิ่มขึ้น และปกป้องผิวจากแสงแดดมากเป็นพิเศษประมาณ 5-7 วัน
ไขข้อสงสัยแล้วเนอะสาวๆ อดทนรักษาอีกหน่อย หน้าใสๆกำลังจะเป็นของคุณแล้ว!!
เรียบเรียงโดย maryLiu
ที่มา thailandbestbeauty