การดูแลตนเองของแม่ตั้งครรภ์

มารดาหลังคลอด

การปรับบทบาทการเป็นมารดา

 ระยะเตรียมเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา (Anticipatory stage) เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์ มารดาที่ตั้งครรภ์นั้นมีการปรับตัวด้านจิตสังคมเพื่อรับบทบาทใหม่ ค้นหาแบบอย่างของการเป็นมารดาที่ดี

โดยเฉพาะจากการเรียนรู้บทบาทของมารดาตนเอง การเรียนรู้จากเอกสาร การอบรม รวมทั้งการเริ่มฝึก

บทบาทการเลี้ยงดูบุตรจากบุคคลใกล้ชิด

 ระยะที่มารดาได้รับคำแนะนำอย่างเป็นทางการ (Formal stage) เริ่มตั้งแต่คลอดบุตรจนถึงประมาณ 6-8สัปดาห์ เป็นระยะที่มารดาแสดงบทบาทการเป็นมารดาตามคำแนะนำจากบุคคลอื่นและญาติพี่น้อง

การได้รับคำแนะนำอย่างเป็นทางการ ทำให้มารดารับรู้ แสวงหา และคัดเลือกพฤติกรรมบทบาทการเป็น

มารดาอย่างเหมาะสม ตามการคาดหวังของตนเองและสังคม

 ระยะพัฒนาบทบาทเป็นของตนเอง (Informal stage) เริ่มหลังจากที่มารดาเรียนรู้ความรู้ด้านการเลี้ยงดูลูก การดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ การตอบสนองที่เหมาะสมของตนเองต่อบุตรเมื่อบุตรมีการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมานั้นเป็นอย่างไร และตนตอบสนองความต้องการที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุตรได้ ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา โดยมารดาสามารถพัฒนาวิธีเลี้ยงดูบุตรที่เป็นรูปแบบของตนเองได้

 ระยะรับรูปแบบบทบาทเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง (Personal stage) เป็นระยะที่มารดาค้นพบรูปแบบในการเลี้ยงดูบุตรที่ตนเองรู้สึกมั่นใจ สามารถแสดงบทบาทนั้นได้ มีความสุขกับการเลี้ยงดู

บุตร มองบุตรเป็นศูนย์กลางของชีวิตและ รู้สึกกลมกลืนไปกับบทบาทที่ค้นพบ ระยะเวลาที่มารดา

จะประสบความสำเร็จในบทบาทมีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนหลังคลอด

การส่งเสริมบทบาทการเป็นมารดา

-. ก่อนแต่งงานพยาบาลควรให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูทารก และหน้าที่การเป็นมารดา

-. ระยะตั้งครรภ์ ให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ การเตรียมตัวเพื่อคลอด และ

การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา

– ระยะหลังคลอด

– แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังคลอด การเลี้ยงดูทารก อธิบายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำหน้าที่ในบทบาทการเป็นมารดา

– สาี และคนในครอบครัวคอย ให้กำลังใจ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในการเป็นมารดา เพราะในระยะแรกของการปรับตัวมารดาจะเกิดความสับสน วิตกกังวล ดังนั้นสิ่งใดที่ยังไม่เข้าใจหรือทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร พยาบาลควรแนะนำ ทบทวนและเปิดโอกาสให้มารดาได้ฝึกหัดทำ

– เปิดโอกาสให้มารดาได้พูดคุยปรึกษาปัญหา โดยอาจจะจัดเป็นกลุ่มระหว่างมารดาที่

เริ่มเข้าสู่บทบาทใหม่ด้วยกัน โดยมีพยาบาลเป็นผู้คอยให้คำปรึกษา และตอบคำถามเพื่อให้มารดาเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ

– จัดเวลาและสถานที่ให้เหมาะสม เป็นส่วนตัว เพื่อให้บิดา มารดาและบุตรคนก่อนได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเพื่อสร้างความคุ้นเคย ก่อนที่จะนำบุตรกลับบ้าน และพยาบาลควรอธิบายให้สามีเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและความต้องการทางด้านจิตใจของภรรยาภายหลังคลอด เพื่อให้สามีเข้าใจ

ซึ่งกรีนเบริกและมอร์ริส ใช้คาดว่า “Engrossment” อธิบายการสร้างสัมพันธภาพ หรือปฏิกิริยาของบิดาที่มีต่อบุตร ประกอบไปด้วย เจ็ดพฤติกรรมดังนี้ ตระหนักรู้โดยการจ้องมองบุตร บิดารับรู้ว่าบุตรเป็นสิ่งดึงดูดใจ มีความน่ารักและสวยงาม ตระหนักรู้โดยการสัมผัส บิดาจะโอบอุ้มบุตรและสัมผัสโดยเริ่มจากการใช้ปลายนิ้ว แตะลูบที่แก้ม แขน ขา และลำตัว ตระหนักรู้ถึงความแตกต่างของร่างกายบุตร บิดารู้สึกว่าสามารถแยกความแตกต่างระหว่างบุตรของตนกับทารกคนอื่นๆได้ รับรู้ว่าบุตรมีความสมบูรณ์ บิดารับรู้ว่าบุตรมีลักษณะเด่น น่ารัก สมบูรณ์  บุตรเป็นสิ่งสำคัญดึงดูดใจอย่างแรงกล้า บิดาจะให้ความสนใจในตัวบุตรอย่างมาก รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างมาก เมื่อบุตรเกิดบิดาจะมีความรู้สึกปีติยินดีมากที่สุด รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากขึ้น หลังจากเห็นหน้าบุตรเป็นครั้งแรก บิดาจะรู้สึก ภาคภูมิใจ รู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ และมีวุฒิภาวะมากขึ้น ความก้าวหน้าของกระบวนการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบิดาและบุตรนั้น มีความสัมพันธ์กับ

ช่วยในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ในทำนองเดียวกันสามีก็จะต้องมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น สามี-ภรรยาที่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีความรักซึ่งกันและกัน ในระยะหลังคลอดจะให้ความช่วยเหลือ

สนับสนุนภรรยาในการเลี้ยงดูบุตรอย่างสม่ าเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปบิดาส่วนใหญ่ก็ต้องการมีส่วนร่วมในการดูแล บุตร ต้องการอุ้ม เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลบุตร แต่ไม่ค่อยมีความมั่นใจอีกต่างหากเนื่องจากไม่ได้รับคำแนะนำหรือปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง ดังนั้นพยาบาลควรให้ความสำคัญและสนับสนุนให้บิดาได้มีส่วนร่วมในการดูแลบุตรได้ด้วยความมั่นใจ โดยการจัดให้บิดาเข้าร่วมชั้นเรียนเกี่ยวกับการบริบาลทารกพร้อมภรรยา เปิดโอกาสและกระตุ้นให้บิดาเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลบุตรด้วย

สำหรับแม่กำลังท้องอ่อนเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์เริ่มเจริญเติบโตบวกกับร่างกายแม่ท้องเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจึงทำให้แม่ท้องมักจะเกิดความกังวลกลัวว่ากินโน่นกินนี่แล้วจะแท้งโดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรกยิ่งกังวลไปกันใหญ่มาดูกันค่ะว่าคนท้องอ่อนห้ามกินอะไรบ้างอาหารสุกๆดิบๆยกตัวอย่างเช่นปลาดิบไข่ดิบซูชิรวมถึงอาหารทะเลปอกเปลือกที่ไม่ปรุงสุกรเช่นหอยปูและกุ้งเพราะว่าอาหารเหล่านี้นี่แหละค่ะหรือเชื้อโรคส่งคลังอยู่อาจทำให้ติดเชื้อโรคได้และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ค่ะ อาหารแปรรูปในช่วงเดือนแรกๆของการตั้งครรภ์นะคะคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ได้ปรุงสดใหม่และอาหารแปรรูปเช่นน้ำผลไม้กล่องนมข้นที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดโรคโดยคุณแม่ท้องเลือกรับประทานน้ำผลไม้ครั้งนี้สดและสลัดผลไม้สดแทนโดยควรทานภายใน 20 นาทีหลังจากทำเสร็จนะคะ 3 อาหารไขมันสูงย่อยยากยกตัวอย่างเช่นเค้กพิซซ่าโดนัทรวมถึงน้ำอัดลมด้วยนะคะเพราะว่าอาหารเหล่านี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วอย่าทำให้ร่างกายทำงานหนักและเป็นไขมันสะสมในร่างกายอีกด้วย 4 ของหมักดองมีโซเดียมสูงเพราะว่าอาจทำให้คุณแม่ท้องอืดอาหารไม่ย่อยได้ค่ะรวมถึงถั่วลิสงก็ไม่ควรรับประทานด้วยนะคะเพราะว่ามีผลเสียต่อร่างกายอาจเข้าไปกระตุ้นให้ลูกเกิดมาเป็นโรคภูมิแพ้ได้ค่ะเพราะว่าเมื่อร่างกายได้รับสารในชาและกาแฟในปริมาณมากอาจทำให้ร่างกายต้องการขับน้ำออกมามากส่งผลให้คุณแม่มีอาการท้องผูกได้นอกจากนี้เครื่อง แอลกอฮอล์ก็ไม่ควรดื่มนะคะเพราะแอลกอฮอล์ก็มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองลูกในท้องค่ะ 6 นมที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์คุณแม่ท้องไม่ควรกินนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์นะคะเพราะว่านมประเภทนี้จะมีเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่ท้องและลูกในท้องได้

เสร็จกิจโดยไม่ท้องอ่อนควรหลีกเลี่ยงชีสเนื้อนุ่มเนื่องจากชีวิตพวกนี้นะคะมาทำจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์นอกจากนี้ยังทำให้เกิดแก๊สอีกด้วยช่วงท้องอ่อนก็เรียกไปก่อนนะคะช่วงไตรมาสแรกแม่ท้องจึงควรระมัดระวังให้มากๆอาจจะยากสักหน่อยนะการต้องมาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้การคลอดและสมบูรณ์ค่ะปกติลูกน้อยในท้องกินเวลาไหนกันมากที่สุดคะ

ก่อนคลอดท้องตกมีอายทำอะไรก็ไม่ถนัดอยากให้คลอดง่ายก็ต้องใช้วิธีกินสิไหมคะกินอะไรให้คลอดง่ายกินอะไรให้น้ำนมเยอะวันนี้มาให้แล้วมาดูกันเลยค่ะ 1 สารพัดเมนูไข่ทอดขายได้วันละ 100 เพราะว่าในชีวิตจริงยิ่งกว่าในละครนะคะดังนั้นจึงเป็นอาหารที่ต้องซื้อติดตู้เย็นเลยนะค่ะแนะนำให้คุณแม่ถ้าเป็นเมนูไข่ไข่ต้มกับอกไก่ย่างไข่เจียวผักต้มข่าไก่หัวปลีทำง่ายทานง่ายของแม่จะได้รับประโยชน์ไก่มีธาตุเหล็กมากแคลเซียมสูงฟอสฟอรัสวิตามินอีแคโรทีน ช่วยในการขับถ่ายและช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมอีกด้วย 3 ขั้นต่ำผัดกุยช่ายหรือผัดดอกไม้กวาดช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนเบื่ออาหารมีวิตามินแคลเซียมฟอสฟอรัสเหล็กวิตามินซีช่วยในการขับน้ำนมขับลมช่วยขับถ่ายง่ายอีกด้วยค่ะและต่างหูตึงช่วยเสริมธาตุเหล็กให้กับคุณแม่เพราะว่าในระหว่างท้องคุณแม่ควรได้รับธาตุเหล็กเป็น 2 เท่าจากปกติจากการทำงานของเม็ดเลือดแดงทำให้มีออกซิเจนไปเลี้ยงทารกในครรภ์เพียงพอและกรดโฟลิกได้จากมีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทลูกน้อยในครรภ์ค่ะแต่สมุนไพรที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเหมาะกับแม่ท้องมากๆช่วยขับเหงื่อขับลมแก้ท้องอืดท้องเฟ้อช่วยให้ 

โปรตีนแคลเซียมไขมันช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดได้ดีทำให้น้ำนมไหลดีด้วยแก่ท้องกับทองมีสารสำคัญคือบำรุงร่างกายจำนวนมากทั้งวิตามินต่างๆที่เด็กมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยขับน้ำนกช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดบรรเทาอาการปวดข้อเข่ากระดูกหมู ร้อนขนาดนั้นมีสารอาหารมากมายทั้งโปรตีนแคลเซียมธาตุเหล็กวิตามินต่างๆรวมถึงคอลลาเจนมีประโยชน์กับลูกในท้องมากและคาร์โบไฮเดรตก็เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายที่แม่ท้องจำเป็นต้องได้รับเงินตลอดช่วงตั้งครรภ์โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีแหล่งพลังงานสะสมพร้อมใช้จะได้มีอะไรให้ช่วยค่ะ อาบน้ำแล้วพักผ่อนให้เพียงพอนะคะและอาหารที่ควรทานจะต้องสดใหม่สะอาดสระบุรีดูกันไปเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงเพราะมีแรงเบ่งมีน้ำนมไหลมาเทมาก่อนคลอดควรทานอะไรบ้างในร่างกายพร้อมคลอดแข็งแรง 7 เมนูนี้มาดูกันค่ะเป็นกำลังใจทีมงานโดยการกดไลค์คลิปนี้กันนะคะที่กดไลค์ขอให้แข็งแรงคลอดง่ายๆทุกคนเลยค่ะก่อนคลอดทองโต๊ะ VIP ทำอะไรก็ไม่ถนัดอยากให้คลอดง่ายก็ต้องใช้วิธีกินจริงไหมคะกินอะไรคลอดง่ายกินอะไรดีวันนี้ต้องคิดเมนูมาให้แล้วมาดูกันเลยค่ะสารพัดเมนูไข่ในช่วงใกล้คลอดคุณแม่ควรทานขายได้วันละ 1 ซองจริงๆแค่ 2 ทีแล้วคลอดง่ายเหมือนในละครนะคะดังนั้นจึงเป็นอาหารที่ต้องซื้อติดตู้เย็นเลยนะค่ะแนะนำให้คุณแม่ เมนูไข่ไขมันต่ำนะคะเช่นไข่ต้มกับอกไก่ย่างไข่เจียวผักโขมต้มข่าไก่หัวปลีเมนูนี้ทำง่ายๆต้มยำคุณแม่จะได้รับประโยชน์จากไม้ไผ่และห่วงพี่ที่มีธาตุเหล็กมากขึ้นสูงฟอสฟอรัสวิตามินอีช่วยบำรุงเลือดและผิวพรรณช่วยในการขับถ่าย

คุณพ่อก็เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และคุณลูกที่อยู่ในท้อง คุณพ่อที่คอยดูแลให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ตลอดแม่ท้องควรจะทานในสิ่งที่มีประโยชน์กับลูกในท้องนะจ๊ะคุณพ่อที่แสนน่ารักแต่รู้มาว่าในแต่ละกลุ่มต้องการสารอาหารไปสร้างอวัยวะต่างๆหรือสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ต่างกันและอาหารอะไรที่ช่วยบํารุงทารกในครรภ์แต่ละเดือนมาดูกันค่ะอาหารบํารุงทารกในครรภ์แต่ละเดือนที่แม่ท้องควรทานมีดังนี้ค่ะช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนหรือไตรมาสแรกไตรมาสแรกถือว่าเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์เริ่มต้นสร้างเนื้อเยื่อจึงต้องทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและสมองจึงได้จัดหารพรุ่งนี้ค่ะค่าแรกเข้าโพดบล็อคโคลี่อะโวคาโดดอกกะหล่ำแครอท คะน้าผักกาดหอมกะหล่ำปลีและมะเขือเทศพรุ่งนี้อุดมไปด้วยโฟเลตค่ะสำคัญต่อการพัฒนาสมองของตัวอ่อนมากค่ะคุณแม่เลือกทานตามสบายเลยนะคะเอา 2 Beet Root ข้าวโอ๊ตถั่วต่างๆธัญพืชและผลไม้อบแห้งอุดมไปด้วยธาตุเหล็กมีหน้าที่ในการรักษาระดับการไหลเวียนของเลือดให้คงที่เพราะทารกในครรภ์ต้องการเลือดที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเพื่อช่วยในการจับออกซิเจนและสารอาหารและส่งไปให้ส่วนต่างๆของร่างกายค่ะทานบ่อยๆจะดีนะคะแม่ภาษาเนื้อสัตว์ต่างๆต่างๆจะมีโปรตีนสูงจำเป็นกับแม่ท้องมากแต่มีแนะนำว่าต้องเป็นเนื้อสัตว์ลงศุกร์เท่านั้นนะคะไม่อย่างนั้นไม่ปลอดภัยค่ะ 

ผลิตภัณฑ์จากน้ำนมได้แก่นมวัวโยเกิร์ตไข่และถั่วต่างๆอุดมไปด้วยสารอาหารทั้งโปรตีนวิตามินแคลเซียมกรดโฟลิกและวิตามินดีแต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอดีนะคะเช่นแม่ท้องกินไข่วันละฟองหรือดื่มน้ำเต้าหู้จะดีมากๆเลยค่ะช่วงอายุครรภ์ 4 เดือนตอนนี้ทารกในครรภ์มีอวัยวะทุกอย่างรวมถึงสมองทำงานได้อย่างเต็มที่การตั้งครรภ์เดือนที่ 4 ของแม่ท้องจึงต้องทานอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของแม่ท้องและการส่งเสริมการเจริญเติบโตบํารุงทารกในครรภ์ควรทานมีดังนี้ค่ะมันเป็นที่ข้อแรกค่ะคนหนึ่งฉันเข้าโอ๊ตและผักสีเขียวแม่ท้องอาจจะทำเป็นขนมปังธัญพืชแทนก็ได้ ก็มีเส้นใยสูงลดอาการท้องผูกได้ค่ะข้อที่ 2 ประตูหน้าถ่วงและน้ำมันมะกอกมีไขมันที่มีโอเมก้า 3 6 9 ไขมันพรุ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดฉันยังช่วยให้ลูกในท้องตลาดน้ำหนักตามเกณฑ์ค่ะข้อที่ 3 นมตั้งแต่ของแม่ท้องและทารกในครรภ์มีความต้องการแคลเซียมจำนวนมากเพราะต้องนำไปเสริมสร้างกระดูกนั่นเองค่ะผลไม้เช่นแอปเปิ้ลแก้วมังกรและเบอร์รี่ต่างๆอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่รวมถึงมีน้ำและเส้นใยสูงโดยเฉพาะผลไม้สดคุณแม่ต้องเลือกผลไม้ที่ปราศจากสารเคมีและต้องล้างให้สะอาดค่ะและข้อสุดท้ายข้อที่ 5 ถั่ว ผลไม้แห้งข้าวสาลีอุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยให้ทารกในครรภ์เติบโตได้ดีเพราะต้องนำไปเสริมสร้างการผลิตเลือดในการไหลเวียนเลือดของร่างกายนั่นเองค่ะช่วงอายุครรภ์ 5 เดือนตอนนี้ท้องของแม่จะใหญ่ขึ้นมากแถมยังมีอาการท้องลายเกิดขึ้นบ้างแล้วและทารกในครรภ์มีเล็บมือและเล็บเท้าหนังศีรษะเริ่มมีผมงอกขึ้นมาจึงควรทานอาหารมื้อนี้ค่ะข้อที่ 1 เนื้อสัตว์เช่นเนื้อหมูเนื้อวัวและไก่มีโปรตีนเยอะจะช่วยในการสร้างอวัยวะคนต่างของลูกในท้องค่ะมากันที่ข้อที่ 2 ผลไม้เช่นลูกค้ากล้วยกีวีส้มและเบอร์รี่ช่วยบำรุงผิวพรรณของแม่ท้องและทารกในครรภ์ให้ขาวใสวิ้งวิ้งเลย 

3 ธัญพืชต่างๆเช่นข้าวกล้องและเนื้อวัวหรือเนื้อหมูเต้าหู้กระเทียมตรงนี้มีวิตามินบี 1 ช่วยบรรเทาอาการเหน็บชาหรือขาเป็นตะคริวได้ค่ะเย็นนี้อย่าลืมอ้อนพ่อให้ไปซื้อนะคะเอาให้ครบเลยนะพ่อมากันกี่ข้อ 4 ล้มถั่วและเมล็ดฟักทองมีสังกะสีราคารถวีคันเริ่มนี้เล็บมือเล็บเท้าเริ่มมีผมงอกออกมาแม่ท้องควรช่วยเสริมการเติบโตของทารกในครรภ์แล้วยังช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้อีกด้วยค่ะและข้อสุดท้ายค่ะเพราะ 5 มันฝรั่งและขนมปังโฮลวีตมีคาร์โบไฮเดรตเยอะมากช่วยแก้อาการท้องผูกของแม่ท้องได้ค่ะอายุครรภ์ 6 เดือน คุณแม่มีพัฒนาการระบบในร่างกายใกล้จะสมบูรณ์แล้วร่างกายของแม่ท้องยังต้องการสารอาหารไขมันและพลังงานต่างๆที่จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีโภชนาการอาหารที่ถูกต้องจะมีอะไรบ้างมาดูกันค่ะข้อแรกข้อที่ 1 เนื้อหมูไก่ลางานและธัญพืชมีไขมันดีช่วยในการเผาผลาญอาหารและไขมันให้เป็นพลังงานเองค่ะข้อที่ 2 ปลากระพงกุ้งปูปลาแซลมอนหอยกาบหอยนางรมเนื้อวัวนมและไข่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 จะช่วยบำรุงระบบประสาทส่วนกลางและเส้นประสาทส่วนปลายและสร้างเม็ดเลือดแดงนั่นเองค่ะข้อที่ 3 เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลที่มีธาตุเหล็กสูงช่วยบำรุงเลือดค่ะและข้อสุดท้ายข้อที่ 4 ถั่วลันเตาบล็อคเคอรี่ถั่วเมล็ดแห้งอะโวคาโดข้าวโอ๊ตเอากล้องเบอร์รี่มีไฟเบอร์สูงมีส่วนช่วยป้องกันครรภ์เป็นพิษความดันเบาหวานในแม่ท้องได้แหมประโยชน์โปรแกรมมากๆเลยอย่าลืมหามาทานกันนะคะแม่ช่วงอายุครรภ์ 7 เดือน 9 เดือนหรือไตรมาสสุดท้ายช่วงนี้ร่างกายแม่ท้องกำลังเริ่มผลิตน้ำนมรอให้ทารกให้กินค่ะถึงแม้ว่าทารกในครรภ์จะมีพัฒนาการที่พร้อมจะคลอดออกมาแล้วแต่แม่ท้องก็ควรทานอาหารดีๆมีความจำเป็นต่อทารกในครรภ์อยู่เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยในการเตรียมความพร้อมก่อนคลอดจะมีอะไรบ้างตาม Admin มันเลยข้อแรก นมปลาตัวเล็กตัวน้อยอะโวคาโดข้าวกล้องมีแคลเซียมสูงช่วยบรรเทาอาการปวดหลังของคุณแม่เสริมสร้างกระดูกและฟันโดยเฉพาะศีรษะของทารกในครรภ์ที่มีความแข็งแรงพร้อมที่จะผ่านอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ได้โดยไม่เสียรูปทรงนั้นเองค่ะข้อที่ 2 berry ต่างๆมะละกอสุกที่อุดมไปด้วยวิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กเพื่อให้ร่างกายของคุณแม่สามารถนำไปใช้งานได้มากขึ้นและต่อต้านทานป้องกันโรคให้ตัวคุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงค่ะข้อที่ 3 น้ำมันตับปลาเนยไข่แดงปลาแซลมอนแครอทฟักทองและผักเขียวเหลืองต่างๆมีวิตามินซีสูงช่วยให้ร่างกายของคุณแม่เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตน้ำนม โอเคค่ะข้อต่อไปข้อที่ 4 ค่ะบิดรูทถั่วต่างๆธัญพืชและผลไม้อบแห้งอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดให้กับคุณแม่เนื่องจากใกล้ครบกำหนดคลอดแล้วร่างกายมีความต้องการเลือดในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อส่งสารอาหารไปดูแลทารกในครรภ์ให้มากขึ้นค่ะข้อสุดท้ายขอที่ 5 ถั่วไข่ขาวเต้าหู้ปลาไก่นมถั่วเหลืองอุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งถ้าหากน้ำหนักตัวของทารกในครรภ์น้อยคุณแม่ควรเพิ่มอาหา

ก็คือการตั้งครรภ์ระยะแรกค่ะยังไม่ถึง 3 เดือนนะคะเดี๋ยวต้องดูก่อนว่าในอายุครรภ์ที่ยังไม่ถึง 3 เดือนในช่วงเนี้ยถามว่าอะไรที่มีประโยชน์สูงสุดนะคะสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดในช่วง 2-3 เดือนแรกก็จะเป็นเกี่ยวกับวิตามินค่ะก็คือจะเป็นโคลิกนะคะอันนี้เป็นตัวที่จำเป็นมากๆเพราะว่ามีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาการของเด็กในช่วงแรกของการตั้งครรภ์นี่แหละซึ่งมีประโยชน์สูงสุดคือเราจะต้องเริ่มกินตั้งแต่ก่อนเที่ยงสรุปว่าท้องนะคะแต่ว่าถ้าเกิดว่าคนไหนคนไหนไม่ได้ทานตั้งแต่แรกนะคะก็สามารถทานได้เลยทันทีที่ตรวจพบว่ามีการตั้งครรภ์นั้นเองอันนี้คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดนะคะอันนี้คือจะเป็นเรื่องของวิตามินนะคะที่จำเป็นแต่ว่าในส่วนของอาหาร อันนี้ต้องบอกเลยนะคะว่าในช่วง 3 เดือนแรกเนี่ยเด็กนะคะในครรภ์นะคะส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ส่วนใหญ่เอาเป็นว่าตามข้อเท็จจริงก็แล้วกันนะคะน้องนะคะเขาจะใช้คืนในช่วง 3 เดือนแรกเนี่ยการที่เรากินกินอะไรเข้าไปค่ะเชื่อไหมคะว่าสารอาหารส่วนใหญ่ที่ลงคิวเนี่ยเป็นการกินเพื่อบำรุงแม่ไม่ได้บำรุงลูกด้วยนะคะเพราะฉะนั้นนะคะถ้าเกิดว่าใครเคยฟังไลน์ของหมอนะคะไม่ใช่ไปฟังเพลงของหมอนะคะใน YouTube นะคะที่พูดเกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องเนี่ยพอจะเน้นมากๆเลยว่า 3 ว่าเราจะกินแล้วไม่ต้องดูลูกเพราะว่าเรากินไปยังไงลูกก็เจริญเติบโตได้ค่ะเขาไม่ได้ใช้สารอาหารในส่วนนี้นะคะถึงแม้จะกินไม่ได้เลยกินได้แต่น้ำหรือมีปัญหาถึงขั้นว่าอาเจียนตลอดน้ำหนักลดมากๆก็ตามนะคะเด็กก็ยังสามารถที่จะเจริญเติบโตได้ค่ะเพราะว่า เขาจะได้รับจากการสร้างของรกนะคะเป็นหลักนะคะก็จะเจริญเติบโตขึ้นไปพร้อมพร้อมกันนี้ถ้าเกิดบอกว่าแล้วเราจะทำยังไงคืออะไรแล้วกันเนาะคือ 1 เลยนะคะสิ่งที่หมอจะบังคับให้คุณแม่กินเนี่ยบอกเลยว่าไม่มีอันนี้ต้องบอกก่อนนะคะว่าเป็นส่วนตัวมากเพราะว่าส่วนตัวก่อนนะคะเพราะฉะนั้นในช่วง 3 เดือนแรกเนี่ยคุณแม่สามารถที่จะทานอะไรก็ได้ค่ะเที่ยวสามารถทานได้ถ้าเกิดว่ายังแพ้ท้องเยอะเลือกกินของที่เรากินแล้วไม่แพ้แต่ถ้าเกิดว่าคุณแม่ท่านไหนไม่มีอาการแพ้ท้องนะคะหลักการง่ายๆในการเลือกอาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มก็ตามนะคะให้เน้นที่มีประโยชน์สูงสุดไว้ก่อนคำว่าอาหารในลักษณะไหนที่จะมีประโยชน์สูงสุดในช่วงของการตั้งครรภ์ก็คืออาหารกลุ่มที่มีโปรตีนสูงเพราะว่านะคะโปรตีน เป็นส่วนประกอบหลักสำคัญในการพัฒนาในเรื่องของการเจริญเติบโตแล้วก็โครงสร้างของน้องนะคะสารอาหารกลุ่มที่มีประโยชน์สูงสุดในแง่ของการบำรุงเด็กนะคะตลอดการตั้งครรภ์เลยนะไม่ได้เฉพาะไตรมาสแรกนะคะก็คือสารอาหารกลุ่มโปรตีนค่ะเพราะว่าคนท้องนะคะจำเป็นจะต้องได้รับโปรตีนเพิ่มขึ้นจากตอนที่เราไม่ท้องอ่ะค่ะอยู่แล้วซึ่งถ้าเรากินเท่าไหร่มันถึงจะเรียกว่าเพิ่มแล้วมันพอนะคะคือเอาง่ายๆค่ะสารอาหารเนี่ยที่เราต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์น่ะมันแค่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเพราะฉะนั้นนะคะหลักๆเลยให้ดูว่าก่อนท้องเนี่ยเราเป็นคนขาดอาหารหรือเปล่าถ้าเกิดว่าคุณแม่นะคะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มีภาวะทุพโภชนาการนะคะบอกเลยว่ากินข้าวเดิมก็พอแล้วนะคะเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะกินกันเกินอยู่แล้วนะคะแต่ว่าถ้าเกิดสมมุติว่าคุณแม่เป็นกลุ่มที่เรียกว่าผอมมากๆนะคะเรียกว่าน้ำหนักไม่ถึง 40 กิโลอย่างนี้อาจจะต้องโดน น้ำหนักเกิน 15 กิโลอยู่แล้วนะเพราะว่าเฟสไลน์ของผู้หญิงไทยเรานะคะส่วนใหญ่จะเกิน 15 กิโลขึ้นไปจน 50 ต้นๆซึ่งถ้าน้ำหนักประมาณนี้บอกเลยว่ากินเท่าเดิมก็เป็นสารอาหารที่เพียงพอสำหรับตัวเราแล้วก็สำหรับลูกอยู่แล้วค่ะการบำรุงคือกินเพิ่มนิดหน่อยประมาณแค่ 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ก็พออย่างเช่นเดิมเคยกินไข่วันละ 1 ซองอาจจะเพิ่มเป็นวันละ 2 ซองอะไรประมาณนี้นะคะก็อันนี้คือสารอาหารกลุ่มแรกแล้วกันก็คือเรื่องของโปรตีนแต่ที่นี่นะคะถามว่าโปรตีนชนิดไหนที่เหมาะกับคนท้องมากที่สุดก็ต้องบอกเลยว่าเราควรจะเลือกโปรตีนที่เป็นประเภทที่มีโปรตีนสูงแต่ว่าแป้งน้อยๆเราก็มีไขมันต่ำนะคะเพราะว่าในช่วงของการตั้งครรภ์ค่ะถ้าคุณแม่กินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเยอะนะคะมีแนวโน้มนะคะมีความเสี่ยงที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นนะคะและสารอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตนะคะสำคัญตรงที่ว่ามันจะเพิ่มน้ำหนักแน่โดยที่ไม่ได้ มีผลกับ 

บ่อยมากเลยค่ะก็คือถ้าเกิดว่าคุณแม่เป็นคุณแม่ที่ชอบกินอาหารคาร์โบไฮเดรตคืออะไรคือข้าวแป้งขนมเบเกอรี่ของว่างน้ำหวานน้ำผลไม้ทุกชนิดเป็นถุงแป้งนะคะถ้าเกิดว่าเรากินเยอะๆนะคะจะเพิ่มเร็วมากๆเลยโดยเฉพาะช่วงนี้กำลังกินทุเรียนเยอะในช่วงนี้บอกเลยว่าน้ำหนักขึ้นเร็วมากแต่ว่าเนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นค่ะมันเป็นการเพิ่มขึ้นจากการที่เราบริโภคแป้งมากจนเกินไปจนเกินไปอ่ะจะเพิ่มน้ำหนักแม่ได้ดีเขาบอกเลยนะคะว่าคุณแม่ฝนใหญ่นะคะที่เป็นกลุ่มที่กินแป้งน้ำตาลเยอะน้ำหนักเด็กจะไม่ได้เยอะตามไปกลายเป็นว่าตัวเล็กด้วยซ้ำน่ะคือหมายถึงตัวเล็กกฎเกณฑ์ที่ควรจะเป็นอ่ะแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่าจบเกมนะแต่ว่ามันไม่ได้ตัวโตแต่ว่าถ้าเกิดว่าคุณแม่

คือกินแป้งไม่เยอะมากแล้วก็กินโปรตีนเพิ่มขึ้นนะคะส่วนใหญ่เด็กตัวโตในเลขที่ว่าเป็นค่ามาตรฐานค่อนสูงขึ้นจากตัวค่อนข้างเจ้าคุณแม่ก็จะไม่ค่อยอ้วนนะคะน้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์เนี่ยในไตรมาสแรกเนี่ยไม่มีตัวเลขเลยเพราะว่า 3 เดือนแรกค่ะถ้าเกิดว่าคนไหนที่กำลังแพ้ท้องหนักนะสามารถน้ำหนักลดได้ถึง 5 กิโลเลยทีเดียวในช่วง 3 เดือนนะคะคุณหมอเคยเจอคุณแม่บางท่านนะคะน้ำหนักลดไปตั้ง 10 กิโลในช่วง 3 เดือนแรกจะถามว่ามีปัญหาอะไรไหมไม่มีค่ะเพราะว่าเด็กบอกแล้ว 3 เดือนแรกเด็กโตได้อยู่แล้วนะคะพยายามเลือกกินของเปรี้ยวกินได้นะคะแต่ว่าถ้าเกิดว่าคุณแม่ท่านไหนนะคะ 3 เดือนแรกไม่แพ้อีกเยอะเลยบอกเลยว่าน้ำหนักที่ขึ้นในช่วง 2 3 เดือนแรกเนี่ยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำหนักที่เหลือจนกระทั่งคลอดไปแล้วน้ำหนักเนี่ยมันก็จะยังอยู่นะคะ เป็นส่วนเกินในงานของหน้าท้องแล้วก็ทำให้ท้องเราอ่ะค่ะไม่ยุบนะก็คือเหมือนกับว่าคลอดไปละก็ยังเหมือนคนท้องอยู่อะไรเนี่ยก็ต้องไปโหลดกันอีกทีหลังบอกเลยตรงนี้เนาะขวดน้ำหนักตัวนะ

ท่านไหนก็ตามที่ตรวจเลือดแล้วพบว่าตัวเองเป็นเบาหวานน่ะมันจะมีความเครียดมากเลยค่ะเหมือนกับถูกบังคับว่าห้ามกินนู่นกินนี่อะไรทำให้ของพี่อยากก็ไม่ได้อยากทำกลัวว่ากินน้อยไปเด็กจะไม่โตนะคะแล้วน้ำหนักลดจะมีผลอะไรไหมลองการตรวจติดตามมันต้องตรวจอะไรหลายอย่างเยอะมากๆคุณแม่ก็จะมีความเครียดค่อนข้างเยอะแต่ว่าถ้าเกิดว่าเราเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงแต่ว่าเราสามารถคุมตัวเองได้ดีค่ะตลอดการตั้งครรภ์อยากกินก็กินนิดหน่อยอะไรนะคะแล้วขอตรวจเบาหวานแล้วขาดเนี่ยเราคือไม่ไปเราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติก็กินนิดกินหน่อยกินได้ทุกอย่างนะคะไม่มีตัวไหนห้ามเลยนะคะอันนี้ก็น่าจะไปถึงไหนล่ะก็ดีนะคะพูดไปแล้วครับพูดไปแล้วใครมันเรื่องของน้ำนะคะเรื่องของเครื่องดื่มที่ควรกินนะคะแต่ก็เรื่องของวิตามินเกลือแร่และวิตามินเกลือแร่หลักๆก็คือว่าถ้าเกิดว่าคุณแม่สาย แล้วค่ะก็จะได้รับวิตามินเสริมจากคุณหมออยู่แล้วนะคะก็จะเป็นเรื่องของวิตามินธาตุเหล็กอันนี้คือเป็นตัวจำเป็นนะคะที่จะต้องรับประทานซึ่งในปัจจุบันนี้ค่ะที่เป็นวิตามินเม็ดนะคะส่วนใหญ่จะเป็นวิตามินรวมขึ้นใน 1 เม็ดมีทั้งธาตุเหล็กมีโฟลิคบางทีมีผสมแคลเซียมมาอีกนะคะบางยี่ห้อก็มีผสมวิตามินดีผสมวิตามินซีคืออันนี้แล้วแต่ยี่ห้อเลยไม่ได้มีความสำคัญอะไรความสำคัญก็คือว่าเราต้องกินประมาณ 1 เมตรอันนี้เป็นมาตรฐาน 1 เม็ดต่อวันนะคะเป็นการเสริมธาตุเหล็กวิตามินอื่นๆคือส่วนใหญ่เราไม่ได้ขาดอยู่แล้วค่ะการกินเสริมก็ไม่ได้มีผลเสียเนาะแต่ว่าถ้าเราได้รับวิตามินที่บางยี่ห้อมันมีธาตุเหล็กถามว่าวิตามินตื่นแล้วต้องไปหากินเพิ่มเติมไหมบอกเลยว่าจริงๆก็ไม่ได้จำเป็นมากนะคะคุณหมอปัจจุบันนี้ก็จะให้นะคะส่วนตัวบอกว่าจะให้ด้วยนะคะเพราะว่าคนไทยนะคะบอกเลยว่าเกิน 50% นะมีภาวะพร่องแคลเซียมอยู่แล้ว มีการเสริมแคลเซียมให้เพราะฉะนั้นคุณแม่ที่ทานนมไม่ได้ค่ะไม่ต้องกังวลว่าลูกจะขาดแคลเซียมถ้าเราทานแคลเซียมเสริมแคลเซียมเม็ด 1 เมตรเท่ากับกี่นม 1 กล่องเลยนะกินนมก็อย่างที่บอกไปแล้วค่ะกินเท่ากับก่อนท้องเคยกินแบบไหนกินเท่าเดิมนะคะตัวนี้มันจะเป็นตัวที่ทำให้เราสามารถสบายใจได้ว่าการกินนมของปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปเพราะว่าถ้ามันมากเกินไปแน่นอนว่ามันสามารถที่จะกระตุ้นให้เกิดการแพ้นมวัวในเด็กแรกเกิดได้ซึ่งตอนนั้นหมอเชื่อว่าไม่มีคุณแม่ท่านไหนอยากกว่าอยากจะให้เกิดในส่วนของเรื่องผักและผลไม้ค่ะผักทุกชนิดสามารถรับประทานได้ไม่จำกัดปริมาณนะคะเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำเพราะว่ามีไฟเบอร์ด้วยแล้วเราจะได้วิตามินเกลือแร่ในส่วนของผลไม้บอกเลยว่าผลไม้ทุกชนิดเป็นน้ำตาลนะคะทานได้ค่ะแต่ว่าอย่าทานเยอะอย่างเช่นทุเรียนอย่างนี้รู้ไหมคะว่าทุเรียนในคนท้องนะคะเขามีเขา เคยเขียนลงเพจแล้วล่ะว่าคำแนะนำในการกินทุเรียนในคนท้องนะคะกินยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุดให้ทายว่าให้กินกันเท่าไหร่คำแนะนำทุกครึ่ง 1 คู่ค่ะไม่ใช่ 30 เม็ดนะคะเพราะว่าในอดีตในอดีตคือภูของทุเรียนอ่ะมันเล็กอ่ะคือ 1 คู่มันมีแค่นิดเดียวแต่ว่าของทุเรียนปัจจุบันนี้บางทีมันมี 4 เมตรไงแล้วเท่าที่มอเตอร์เวย์นะพอเวลามีทุเรียนออกมาค่ะคุณแม่ไม่ได้ทานค่ะผู้เดียวทุกคนบอกจะกิน 1 ลูกนะคะบอกเลยว่ามันเยอะเกินไปค่ะทุเรียนคือแป้งม้วนนะคะถ้าเกิดว่าคุณแม่ท่านไหนที่จบทุเรียนมากๆในช่วงของการตั้งครรภ์เนี่ยตรวจน้ำตาลไม่ผ่านสักคนซึ่งมันอันตรายมากเพราะว่าถ้าเกิดเราไม่มีช่วงตั้งครรภ์ด้วยนะคะ

เริ่มทานได้อยากอาหารก็กินปกติใช่ไหมคะเดี๋ยวนะควรระวังอะไรเป็นพิเศษหรือควรทานอะไรเป็นพิเศษไหมคือถ้าเอาตามคำแนะนำปกติเลยนะคะถ้าหากว่าช่วงที่เพิ่งหายจากแพ้ท้องเนี่ยส่วนตัวหมอนะก็กินอะไรดีได้กินไปก่อนค่ะให้เรามีแล้วก็กินได้เยอะแล้วเริ่มรู้สึกว่าน้ำหนักตัวขึ้นมากเกินหรือบังเอิญว่าอัลตร้าซาวด์แล้วเจอเด็กมีขนาดเล็กกว่าปกติกว่าเกณฑ์อะไรอย่างนี้เป็นต้นค่ะงั้นก็เดี๋ยวค่อยว่ากันแต่ถ้าหากว่าสิ่งที่เราทำในตอนนี้ไม่ว่าเราจะกินอะไรก็ชั่งน้ำหนักตัวเราก็ยังขึ้นตามเกณฑ์ปกติหรืออาจจะขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้างแต่เด็กยังมีขนาดปกติก็แปลว่าสิ่งที่เรากินตอนนี้มันบำรุงลูกได้ประมาณ 1 อยู่แล้วไม่ต้องไปพยายามทำอะไรเพิ่มนะคะเพราะว่าหมอมีความรู้สึกว่าในคนท้องเนี่ยส่วนใหญ่แล้วอ่ะปัญหาที่น้ำหนักตัวเกิน 

คุณแม่ไปพยายามหาอะไรกินเนี่ยแหละเพราะจริงคนท้องไม่ได้ต้องการสารอาหารมากกว่าก่อนท้องมากเท่าไหร่นะคะต้องการเพิ่มประมาณแค่ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเพียงแต่แป้งแป้งน้ำตาลให้หน่อยลูกกินโปรตีนให้มากขึ้นนะคะฉันโปรตีนก็ไม่ต้องพูดนะคะเนื้อไก่อะไรอย่างนี้เป็นต้นก็แล้วแต่ที่เราชอบกินก็เลือกเอาค่ะแล้วก็กินผักให้มากขึ้นกินผลไม้บ้างนิดๆหน่อยๆไม่เน้นน่ะเพราะว่าคุณแม่หลายคนเป็นเบาหวานจากการกินผลไม้เพราะผลไม้มีน้ำตาลค่อนข้างสูงนะคะก็ไม่ได้ห้ามกินกินได้แต่ถ้าไม่อยากให้กินเป็นหลักอยากให้กินผัก

ทุกๆท่านที่กำลังเริ่มตั้งครรภ์นะคะไม่ว่าจะเป็นคุณแม่มือใหม่ก็กลัวจะเพิ่งท้องนะคะเป็นครั้งแรกหรือว่าอาจจะเป็นคุณแม่ที่เป็นท้อง 2 หรือท้อง 3 แล้วก็ได้แต่ว่าเพิ่งเริ่มตั้งครรภ์นะคะเพราะว่าอะไรนะคะเพราะว่าจริงๆแล้วในทุกๆครั้งที่ตั้งครรภ์เนี่ยอาการในแต่ละท้องก็ไม่เหมือนกันเลยบางคนเนี่ยบางท้องแพ้มากบางคนตั้งท้องไม่มีอาการอะไรเลยด้วยซ้ำนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยก็ไม่สามารถที่จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ว่าเธอเคยท้องมาแล้วเนี่ยทำไมท้องนี้ยังดูแบบเหมือนกับว่ายังดูเหนื่อยจังเลยทำไมไม่คุ้นกับการตั้งครรภ์อีกอะไรเนี้ยคำนี้คือไม่สามารถใช้ได้เลยนะคะเพราะว่าในแต่ละอาการตั้งครรภ์เนี่ยไม่เหมือนกันเลยทีเดียวนะคะซึ่งปัญหาคนท้องที่จะต้องเจอก็คือเรื่องของการแพ้ท้องนั่นเองนะคะอาการแพ้ท้องเนี่ยมีได้หลายอย่างนะคะบางคนก็คือมีอาการน้อยบางคนมีอาการ อาการที่เรียกว่าเป็นอาการพื้นฐานทั่วๆไปที่ส่วนใหญ่มีเลยก็คือจะเป็นเรื่องของอาการเหนื่อยง่ายอ่อนเพลียง่ายนะคะบางคนจะรู้สึกเหมือนกับว่าใจสั่นง่ายอันนี้ก็คือเป็นอาการปกตินะคะจะมีอาการเบื่ออาหารอาจจะอยากจะรับประทานอาหารอะไรแปลกๆนะคะซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องของอาจารย์ชายท้องเหมือนกันนะคะแต่ในขณะที่บางคนนะคะมีอาการแพ้ท้องที่เรียกว่ามีอาการเวียนหัวเวียนหัวก็คือเหมือนมึนศีรษะตลอดเวลานะคะหรือว่าเดินไปเดินมาแล้วรู้สึกว่าบ้านมันหมุนได้เราก็อีกอันนึงก็คือเรื่องของอาการแพ้ท้องที่เป็นกันเยอะที่สุดนะคะก็คือเรื่องของอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นเองนะคะอาการคลื่นไส้อาเจียนอาจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าอาการแพ้ท้องของเราเนี่ยมากหรือน้อยแค่ไหนนะคะบางคนคลื่นไส้อาเจียนก็คือแค่เหม็นอาหารเฉยๆแต่ว่าสามารถที่จะกินอาหารบางอย่างได้นะคะ หรือว่ากินบางอย่างแล้วอาเจียนแต่ว่าบางอย่างก็คือกินแล้วไม่อาเจียนอันนี้คือถือว่าแพ้ท้องแต่ว่าค่อนข้างน้อยถ้าเกิดว่าคุณแม่มีอาการเล็กน้อยโดยมากจะไม่ค่อยหน้าจองด่วนเพราะว่าน้ำไม่ค่อยลดหรือลดอย่างมากก็แค่ 1 หรือ 2 กิโลนะคะแล้วก็ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่มีอาการแพ้ท้องไม่เยอะเนี่ยก็สามารถที่จะทานยาบำรุงครรภ์ได้ก็คือสามารถทานได้ทุกตัวคือไม่มีปัญหาอะไรนะคะก็คือถ้าสมุดว่าใครไม่มีอาการแพ้ท้องเลยก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะถือว่าโชคดีละแต่ว่าอาการแพ้ท้องเล็กน้อยอันนี้คือเป็นเรื่องธรรมดาคาดว่าไม่น่าจะกังวลอยู่แล้วนะคะแต่ว่าคุณแม่กลุ่มที่จะมีความกังวลมากขึ้นก็คือคนที่มีอาการแพ้ท้องมากนะคะท้องมากเราก็จะยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มเหมือนกันก็คือกลุ่มที่มีอาการแพ้ท้องมากแบบที่ยังเรียกว่าพอรับได้นะคะอาการแพ้ท้องมาก ก็คือการที่คุณแม่เนี่ยสามารถที่จะดื่มน้ำได้หรือว่ายังสามารถทานผลไม้หรืออาหารบางอย่างได้นะคะโดยมากจะมีปัญหาตอนที่พยายามที่จะทานอะไรบางอย่างเราก็เลยทำให้อาเจียนออกมาซึ่งอาหารบางอย่างที่เรียกว่าจะต้องฝืนเนี่ยก็ไม่ใช่อาหารแปลกเลยบางคนคือแค่กินข้าวหรือว่าแค่กินน้ำอะไรอย่างนี้นะคะก็คลื่นไส้ละหรือบางคนอาจจะมีอาการแพ้บางช่วงอย่างเช่นบางคนแพ้ตอนเช้าบางคนมีอาการคลื่นไส้ตอนเที่ยงคืนตอนเช้าตื่นมากินได้ตอน 12:00 น นะคะก็จะมีอาการแพ้ท้องในช่วงเย็นนะคะเป็นได้เหมือนกันพรุ่งนี้จะถือว่าเป็นคนที่แพ้ท้องที่รุนแรงขึ้นมาอีกนิดนึงแต่ว่าก็ยังไม่ค่อยน่ากังวลเพราะว่าอะไรเพราะว่าการที่เรายังคงสามารถดื่มน้ำได้และยังทานอาหารบางอย่างได้อยู่ถึงแม้จะเป็นแค่ผลไม้หรือว่าน้ำผลไม้หรืออาจจะกินแค่ขนมเล็ก เนี่ยตรงนี้ก็ถือว่าเป็นไงคะเป็นอาการที่ถือว่าโอเคสำหรับหอนะรับได้เลยนะคะเพราะว่าอะไรก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าในช่วงไตรมาสแรกก็คือ 3-4 เดือนแรกนะคะโดยมากเราเด็กนะคะสามารถที่จะใช้สารอาหารเดิมที่สะสมอยู่ในตัวคุณแม่เนี่ยในการเจริญเติบโตได้อยู่แล้วสามารถรับประทานอาหารได้บ้างเพียงเล็กน้อยนะคะน้องก็สามารถที่จะเจริญเติบโตได้เพราะว่าจะดึงอาหารสะสมของเราไปใช้ทำให้น้ำหนักตัวนะคะของเรานะมีโอกาสที่จะไม่ได้มีผลอะไรกับเด็กเช่นเดียวกันนะคะแต่ว่าก็จะมีคุณแม่กลุ่มนึงที่เรียกว่าแพ้ท้องหนักมากนะคะแพ้ท้องหนักหน้าคืออะไรแม้แต่น้ำเปล่านะคะก็ไม่กลืนน้ำลายไม่ได้เลยทีเดียวนะคะกลุ่มนี้โดยมากแล้วสุดท้ายแล้วจำเป็นจะต้องนอนโรงพยาบาลค่ะเพราะว่าเวลาที่คุณแม่ถ้ามีภาวะขาดน้ำ ก็คือเรื่องของการรับประทานวิตามินในช่วงตั้งครรภ์นะคะเพราะว่าโดยปกติแล้วเนี่ยถ้าเกิดสมมุติว่าคุณแม่นะคะได้เริ่มฝากครรภ์แล้วนะก็จะได้ยาบำรุงนะคะเส้นตรงนี้ก็เป็นยาบำรุงที่ได้จากทางคลินิกหรือว่าทางโรงพยาบาลนะคะซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่คุณแม่กังวลก็คือมักจะกลัวว่าวิตามินที่เราได้ปริมาณมากพอหรือเปล่าคือกลัวว่าจะได้ไม่ครบนะคะบางคนก็เลยสอบถามเข้ามาว่าจะทานเพิ่มได้ไหมจะต้องทานเสริมอะไรบ้างนะคะว่าการซื้อวิตามินเพิ่มเติมรับประทานเองเนี่ยทำได้หรือเปล่านะคะตรงนี้หมอก็จะเลยมาขอพูดรวมๆเลยก็แล้วกันนะคะว่าปกติแล้วเนี่ยในช่วงของที่เราสร้างวิตามินที่จำเป็นที่ต้องได้รับเติมนะคะอันดับแรกเลยก็คือเป็นกลุ่มวิตามินธาตุเหล็กนะคะกลุ่มธาตุเหล็กก็คือจะเป็นตัวที่ช่วยใน การสร้างเม็ดเลือดแดงเพราะว่าในช่วงตั้งครรภ์นะคะคุณแม่จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงที่เพิ่มมากขึ้นนะคะซึ่งปริมาณเม็ดเลือดแดงที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะได้นำไปสู่น้องนั่นเองนะคะแล้วก็ในขณะเดียวกันก็คือว่าเนื่องจากบ้านนะคะในช่วงของการตั้งครรภ์จะมีการเพิ่มนะคะปริมาณของน้ำในร่างกายจะทำให้ตัวเรียกว่านำเลือดของเรานะคะเพิ่มมากขึ้นเพราะฉะนั้นนะคะโดยปกติแล้วเนี่ยในคนท้องเวลาที่เราเจาะเลือดเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์นะคะจะมีภาวะที่เลือดต่ำกว่าธรรมดาคือเรียกว่าสมมุติว่าในระดับปกติตอนเราไม่ท้องเนี่ยเราเจาะเลือดแล้วเลือดเราอาจจะอยู่ที่ประมาณแต่ว่าพอท้องอืดนะคะด้วยการคิดว่าปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในร่างกายเนี่ยจะเพิ่มมากกว่าการเพิ่มของนักแสดง ของเลือดที่เราถือว่าเป็นความเข้มข้นเลือดปกติเนี่ยเราเลยเอาแค่ที่ 33 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองนะคะเพราะฉะนั้นถ้าใครเจาะเลือดมาแล้วเนี่ยพบว่าเลือดจางนิดหน่อยคือเวลาที่ค่ามาตรฐานเขาจะเอาค่ามาตรฐานของคนปกติแล้วเอามาแปรผลซึ่งค่ามาตรฐานของคนปกติจะเอามาใช้ในคนท้องไม่ได้นะคะเพราะฉะนั้นค่าความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 30 ถึง 35 เปอร์เซ็นต์เนี่ยจริงๆถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่ารับได้คือเป็นเกณฑ์ที่ถือว่าปกติจะได้ท้องแต่ว่าถ้าสมมุติว่าเราสามารถที่จะทานวิตามินเสริมหรือว่ารับประทานอาหารเพิ่มเติมเพื่อให้เม็ดเลือดแดงของเราเนี่ยมีการเพิ่มปริมาณจนกระทั่งความเข้มกว่า 33% อันก็ถือว่าก็ดีกว่าอยู่แล้วนะคะในส่วนของวิตามินก็คืออย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเนื่องจากปริมาณน้ำเลือดของเราเนี่ยมีการเพิ่มมากขึ้นค่อนข้างเยอะ จำเป็นจะต้องรับประทานธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มการสร้างของจำนวนเม็ดเลือดแดงให้ได้ความเข้มข้นเลือดน่ะอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าปกติที่สามารถตั้งครรภ์เป็นธรรมดาถ้าเกิดว่าความเข้มข้นเลือดนะคะมากกว่า 30 หรือ 33% ขึ้นไปเนี่ยถือว่าเป็นความเข้มข้นที่เราสามารถรับได้คือตั้งครรภ์ต่อได้อย่างปลอดภัยความเสี่ยงในเรื่องของโลหิตทำอะไรก็คือจะเรียกว่าน้อยนะคะจริงๆแล้วคนที่มีภาวะโลหิตจางถ้าไม่ได้มีภาวะโลหิตจางแบบเยอะๆเลยนะคะก็ก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปกติเพราะว่าภาวะโลหิตจางเนี่ยจะไม่ได้ทำให้เด็กพิการนั่นเองนะคะก็ในส่วนของธาตุเหล็กก็มีความสำคัญตรงนี้นะคะก็คือในส่วนของ folic Acid ก็คือตัววิตามินโฟลิกนะคะตัวนี้มีความจำเป็นเพราะว่าถ้าเกิดสมมุติว่าถ้าคุณแม่มีภาวะขาดโฟลิคนะคะก็จะทำให้ ทารกพิการได้ซึ่งความพิการของทารกแรกเกิดจะเกิดตั้งแต่ในช่วง 3 เดือนแรกเพราะเธอจริงๆแล้วตัววิตามินโฟลิกนี้แล้วจะแนะนำให้ทานตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือนแล้วต้องมีการทานต่อเนื่องอย่างน้อยก็คือหลังหลังตั้งครรภ์ไปแล้วในช่วง 3 เดือนแรกก็คือจำเป็นนะคะแต่ว่าตัวธาตุเหล็กอยู่ในช่วง 3 เดือนแรกยังไม่ได้จำเป็นมากนะคะเพราะว่าโดยปกติแล้วในช่วง 3 เดือนแรกทำเข็มข้นเลือดหรืออะไรก็ตามของเราเนี่ยค่อนข้างจะใกล้เคียงกับตอนช่วงก่อนตั้งครรภ์เพราะฉะนั้นตัวธาตุเหล็กจะมีความสำคัญมากขึ้นไปนั่นเองค่ะแล้วก็อีกตัวนึงก็คือเรื่องของแคลเซียมนะคะเที่ยงก็จำเป็นเพราะว่าเด็กนะคะเขาจะดึงแคลเซียมที่สะสมของเราไปใช้เสริมตรงนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันถ้าเกิดว่าหัวหน้าได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอก็จะทำให้มีภาวะกระดูกพรุนได้นะคะในช่วงเรียกว่าหลังคลอดนั่นเองซึ่ง ต่อวันนะคะในช่วงตั้งครรภ์อยู่ที่ประมาณ 1000 mg แต่ว่าตัวยาเม็ดแคลเซียมที่เราได้รับประทานเนี่ยบางคนอาจจะได้ไม่ถึง 1,000 ว่าอะไรเพราะว่าจริงๆส่วนใหญ่จะมีการทานนมร่วมด้วยนะคะซึ่งนม 1 แก้วจะมีอยู่ประมาณ 300 mg อยู่แล้วเพราะฉะนั้นคือถ้าเราทานนมนะคะแล้วทานแคลเซียมเสริมแล้วก็มีการทานจะทำให้ปริมาณแคลเซียมโดยมากจ้ะแม่ขาแต่ว่าถ้าจะเป็นคนที่ทานนมไม่ได้เลยนะคะเพราะการทานแคลเซียมก็คือจำเป็นมากๆเลยนะคะแล้วก็ในส่วนของตัววิตามินธาตุเหล็กนะคะจริงๆแล้วเนี่ยธาตุเหล็กที่ร่างกายต้องการในช่วงของการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ประมาณ 30 mg นะคะต่อวันเท่านั้นเองซึ่งการเพียง 1 เม็ดต่อวันที่เราได้จ้ะยาบำรุงก็ถือว่าเพียงพอเพราะว่าวิตามินทุกๆยี่ห้อทุกๆรูปแบบนะคะถ้าเกิดว่าเขาระบุว่าเป็นวิตามินบำรุงเลือดที่ สวยมากนะคะปริมาณอยู่ในนั้นน่ะจะอยู่ที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมเพราะฉะนั้นการทาน 1 เม็ดต่อวันเพียงพออยู่แล้วยกเว้นไอ้คนที่มีภาวะโลหิตจางนะคะโลหิตจางก็คืออาจจะจำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กนะคะมากกว่า 1 เม็ดนะคะแต่ว่าในส่วนของ Sonic เนี่ยถ้าเกิดสมมุติว่านะคะเรานะคะรับประทานในช่วงของไก่มาศแรกเนี่ยส่วนใหญ่จะได้รับเป็นโปรเน็ตอย่างเดียวก่อนเพราะว่าอะไรเพราะว่าธาตุเหล็กเนี่ยปัญหาของเขาคือจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ได้มีอาการพะอืดพะอมได้เพราะฉะนั้นต่ำวิตามินที่เป็นอย่างเดียวแต่ว่าพอเราเข้าสู่ไตรมาส 2 แล้วนะคะหรือว่าหลังจากที่เราไม่แพ้ท้องแล้วเนี่ยคุณหมอเขาก็จะเปลี่ยนวิตามินให้เป็นวิตามินรวมวิตามินรวมจะมีทั้งธาตุเหล็กแล้วก็โฟลิคอยู่ในเม็ดเดียวกันนะคะแล้วก็ทานแคลเซียมเสริมอีก 1 เม็ดต่างหากแต่ว่านะคะในวิตามินหลายๆยี่ห้อต้องมีการเติมนะคะ ไปไหนยาเม็ดเม็ดเดียวคือในเม็ดเดียวมีทั้งแคลเซียมธาตุเหล็กและโฟลิกนะคะซึ่งถ้าบังเอิญว่าวิตามินตัวที่เราได้เนี่ยเป็นตัววิตามินรวมที่มีทุกอย่างอยู่แล้วน่ะเราสามารถที่จะทานแค่เม็ดเดียวเลยก็ได้เหมือนกันนะคะ

ความเครียด 

 ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตให้มีระเบียบ และเสริมแคลเซียมให้แก่ร่างกาย 

การดูแลรักษาสุขภาพ ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียด เช่นมนปัจจุบัน จำเป็นต้องทำให้ร่างกาย และจิตใจแข็งแรง กุญแจที่สำคัญ คือ ต้องรับประทานอาหารใฟ้ครบวันละ 3 มื้อ และบริโภคสารอาหารที่หลากหลายอย่างสมดุล การรับประทานผักดอง บ๊วยดอง ซุปมิโซะ หรือดื่มชา และกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ ก็สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ นอกจากนี้แล้ว หากร่างกายขาดแนลเซียมก็จะทำให้อารมณ์หงุดหงิด กระสับกระส่ายได้ 

วิตามินบี1 

  วิตามินบี1 ที่พบในหอมหัวใหญ่ จะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจ จึงเรียกว่า วิตามินแห่งจิตใจ ข้อควรระวังในการปรุง คือ ไม่ควรแช่หอมหัวใหญ่ในน้ำนานเกินไป เพราะจะสูญเสียคุณค่าทางอาหาร 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ ถั่วลันเตา มัสตาร์ด สาหร่าย ถั่วเหลือง เป็นต้น

แคลเซียม 

  แคลเซียมในผลิตภัณฑ์จากนม ช่สยควบคุม ความตื่นตัวของระบบประสาทสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการพักผ่อน ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ1แก้ว 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ ชีส โยเกิร์ต พาร์สลีย์ โหระพา ใบชิสะ หัวไชเท้า เป็นต้น

วิตามินซี 

  ยิ่งเครียดมาก วิตามินซีในร่างกายก็จะยิ่งถูกนำมาใช้ กีวีเหลืองมีปริมาตรสิตามินซีสูงกว่ากีวีเขียนทั่วไป ประมาณ 2 เท่า 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ ส้มยูสุ พาร์สลีย์ มะนาว ลูกพลับ สตรอว์เบอร์รี่ บรอกโคลี่ ส้มจิ๊ด.  เป็นต้น

กรดแพนโทเทนิก 

   นัตโตะ หรือ pantothenic acid นัตโตะข่วยในการทำงานของฮอร์โมนต้านึวามเครียด หากได้รับไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่าย ไม่กระปรี้กระเปร่า ผมเสีย และผิวหยาบกร้าน 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ ตับ นมวัว ปลาชิชาโมะ อะโวคาโด ปลาไหล ทะระโกะ ปลาโอแห้งฝอย เป็นต้น

ความเหนื่อยล้า 

รับประทานอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟู ร่างกายจากความเหนื่อยล้า หากรู้สึกเหนื่อยล้า วิธีแก้ที่ดีที่สุด คือ นอนหลับ ให้เต็มอิ่มเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ หรือแช่ตัวในน้ำร้อนก่อนเข้านอน เพื่อให้หลับสบายขึ้น หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในภาวะเหนื่อยล้าโดยไม่หาวิธีบรรเทา ภูมิต้านทาน และภูมิคุ้มกันจะลดลง ทำให้ป่วยเป็นหวัดและโรคอื่นๆตามมา นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการเหนื่อยล้าทางกายได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดีและวิตามินบี1 สำหรับความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ควรรับประทานอาหารที่มีมิวซิน ซึ่งช่วยให้กระปรี้กระเปร่า 

วิตามินบี1  

  วิตามินบี 1 ในเนื้อหมูอาจให้พลังงาน ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของร่างกาย หากรับประทานกับบ๊วยดองซึ่งมีกรดซิตริกจะเพิ่มคุณประโยชน์เป็นเท่าตัว 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ แฮม ทะระโกะ ปลาไหล ไข่ปลาแซลมอน ปลาโอแห้งฝอย ถั่วเหลือง เป็นต้นค่ะ

มิวซิน 

 โทโรโระ มีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงร่างกายขนานเอก ทั้งยังย่อยและดูดซึมง่าย เหมาะสำหรับช่วงฤดูร้อนที่มักเกิดอาการเบื่ออาหาร มันโทโรโระม้สารมิวซิน ซึ่งไวต่อความร้อน จึงควรรับประทานสดๆ 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ เผือก กระเจี๊ยบเขียว รากบัว นัตโตะ สาหร่าย เป็นต้น

รับประทานอาหารที่มีกรดซิตริกหลังออกกำลังกาย 

กรดซิตริกเป็นที่นิยมบริโภคกันมากในหมู่นักกีฬา เนื่องจากคุณสมบัติช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญกรดแล็กติกและไขมัน ส่วนเกินได้ดียิ่งขึ้น เวลาเหนื่อยๆ ลองรับประทานอาหารรสเปรี้ยวที่มีส่วนผสมของมะนาว บ๊วยดอง ห่ือน้ำส้มสายชู ลองดูสิคะ 

อาการไหล่แข็งตึง 

 ปรับปรุงระบบไหลเวียนเลือดด้วยการออกกำลังกาย แช่ตัวในน้ำร้อน และเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง 

อาการปวดไหล่และเอว เป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อยจนเรามักมองข้าม แต่ในบางกรณีอาจเกิดจากความผิดปกติที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ตา หู และฟัน หรืออาจเป็นสัญญาณของโรคที่จะตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง หรือหลอดเลือดแดงแข็งตัว นอกจากนี้ ความกดดันและความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันก็เป็นสาเหตุทำให้การไหลเวียนเลือดไม่เป็นปกติจนทำให้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายอย่างเพียงพอ แช่ตัวในน้ำร้อน และรับประทานอาหารที่ช่วยให้การไหลเวียนเลือกดีขึ้น ก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ 

กรดซิตริก 

  กรดซิตริก สามารถพบไอ้ในบ๊วยดอง กรดซิตริกในบ๊วยดองจะเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นด่างเมื่ออยู่ระหว่างทางเดินในลำไส้ ช่วยกระตุ้นวงจรไหลเวียนเลือด บรรเทาความเมื่อยล้า ของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ได้ผลควรรับประทานบ๊วยดอง วันละ 1 เม็ด 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ มะนาว เกรปฟรุต ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ กล้วย เป็นต้น

กรดแอมิโน 

   ถั่วเหลือง เป็นแหล่งรวมกรดแอมิโนทุกชนิดที่ร่างกานขาดไม่ได้ ช่วยกระตุ้น กระบวนการสลายและสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง คลายความอ่อนล้าหรือความปวดเมื่อย ควรรับประทานกับข้าวขาว 

แฟล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว น้ำส้มสายชูดำ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี เส้นโซบะ เป็นต้น 

 ประคบขิง 

  จินเจอรอล คือ สารที่ให้ความเผ็ดร้อน และเป็นส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหยในขิง ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น และบรรเทาอาการอักเสบ สามารถดูดซึมทางผิวหนังได้ดี เพียงแค่นำขิงขูดฝอยมาประคบบริเวณที่มีอาการโดยตรง ความเจ็บปวดจะบรรเทาลง หากกังวลว่าจะเกิดผื่นแพ้ ให้ผสมเกลี่ยลงบนผ้าก๊อซ ก่อนนำมาประคบบริเวณที่มีอาการ

ปนะจำเดือนมาไม่ปกติ

กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน และไปพบแพทย์เพื่อตรวจแต่เนิ่นๆ 

 ประจำเดือนมาไม่ปกติ เกิดจากภาวะเสียสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง กรณีที่รอบเดือยมาเร็วกว่า 24 วัน หรือมาช้าเกิน 39 วัน ต้องพึงระวัง เพราะอาจเกิดจากความผิดปกติ บริเวณสมองต่อมใต้สมอง รังไข่ มดลูก ตลอดจนภาวะทางจิตใจ เช่น ความเครียดและความเหนื่อยล้า กรณีที่มีอาการมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่ามีการตกไข่หรือไม่ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่ช่วยรักษาร่างกายให้อบอุ่น และบำรุงเบือดให้สะอาด 

วิตามินอี

  ข้าวกล้อง ช่วยเรื่องการทำงานของต่อมใต้สมองที่ควบคุมฮอร์โมน และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ตลอดจนควบคุมระบบประสาทอัตฌนมัติให้ทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะ ข้าวกล้องงอกซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ จมูกข้าวสาลี น้ำมันพืช น้ำมันเรปซีด หรือ rapeseed oil น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น 

อาร์จินีน 

   ในสมัยโบราณ ประเทศจีนใช้ส่วนรากของพืชชนิดนี้ ปรุงเป็นอาหารสำหรับขับเลือดเสียออกจากร่างกาย โกโบยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและการหลั่งฮอร์โมน เมื่อผ่านความร้อนจะยิ่งมีกลิ่นหอมและรสหวานยิ่งขึ้น 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ มิโซะ นัตโตะ เต้าหู้อะบุระอะเกะ ถั่งเหลือง เต้าหู้โคยะ เนื้อไก่ ไข่ เป็นต้น 

ธาตุเหล็ก

  ถั่วดำ มีธาตุเหล็กที่จำเป็นอย่างยิ่งในช่วงมีรอบเดือน ทั้งยังอุดมด้วย วิตามินบี1 และบี2 ช่วยคุมคุมการหลั่งฮอร์โมน บำรุงครรภ์ สามารถนำมาทำเป็นน้ำต้ม ถั่วดำดื่มได้ 

แหล่งอาหารอื่นๆ ได้แก่ ตับ พาร์สลีย์ มิโซะ ไข่แดง หอยชิจิมิ เนื้อไก่ เนื้อวัว นัตโตะ เป็นต้น 

เพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายอบอุ่น  แช่น้ำร้อน แช่น้ำร้อนครึ่งตัว ห่ือแช่เท้าในน้ำร้อนก็ได้ 

ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด โดยเฉพาะบริเวณน่องซึ่งถือเป็นหัวใจ ดวงที่2ของร่างกาย

อาหาร การรับประทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ  

เนื้องอกกล้ามเนื้อเรียบมดลูก ภัยใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรรู้

ประจำเดือนมามากเกินไป และความผิดปกติในช่องท้ออง ควรพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ