ตุ๊กตาบาร์บี้คงจะเป็นตุ๊กตาความใฝ่ฝันในวัยเด็กของใครหลายๆคน แต่ใครจะคาดคิดกันบ้างคะ ว่าวันหนึ่งตุ๊กตาบาร์บี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้สาวน้อยคนหนึ่งสามารถเอาชนะอุปสรรคในชีวิตและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้?! เรื่องนี้เกิดขึ้นกับสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อ ‘เอมิลี่’ ค่ะ!! และนี่คือเรื่องราวของเอมิลี่ที่เราเอามาฝากให้สาวๆได้อ่านกันค่ะ!!
เอมิลี่ได้โพสเรื่องราวของเธอลงในเว็บไซต์ dek-d โดยเธอมีจุดประสงค์ที่จะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่กำลังโดนดูถูก โดนล้อ โดนรังแก ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก หรือบางคนที่อาจจะโดนเหยียดเพศด้วย แต่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“แต่เดิมเป็นเพียงสาวประเภทสองคนนึง ที่มีใจรักและชื่นชอบการ์ตูนและตุ๊กตาบาร์บี้มาตั้งแต่เด็กๆ และเคย มีความฝันว่าอยากจะเป็นเหมือนบาร์บี้ คือมีเพื่อนเยอะๆ มีงานดีๆทำ ได้แต่งตัวสวยๆไปทำงานหรือเที่ยว แต่ตอนนั้นคิดว่า ภาพในหัวเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆของตัวเองเท่านั้น เพราะสภาพในตอนนั้นคือผิวหมอง คล้ำเสียจากการถูกแดดเผา ผิวหน้าแย่มาก และที่สำคัญ น้ำหนักในตอนนั้นหนักตั้งแต่ 80-85 kg. เลยทีเดียว โดยความสูง 175 ซม.!! ทำให้โดนเพื่อนผู้ชายล้อ โดนดูถูกต่างๆนาๆ และพอแอบชอบใคร เขาคนนั้นก็จะแสดงออกซึ่งความรังเกียจ ขยะแขยง บางคนถึงขั้นร้อง “อี๋” ทั้งๆที่เขาเห็นหน้าเราไม่กี่เมตรด้วยซ้ำ ทำให้เราไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าสังคม แต่ก็ยังโชคดีที่เราเองก็ยังมีเพื่อนดีๆคอยให้กำลังใจเราอยู่บ้าง”
“ซึ่งหน้าตาแบบนี้แหละค่ะที่ทำให้ตัวเองโดนดูถูก โดนหัวเราะเยาะมาตลอด บางทีเดินผ่านกลุ่มผู้ชาย ก็โดนแกล้งสารพัด และจุดพีคที่สุดคือ ไปชอบผู้ชายคนนึงเข้า และพยายามที่จะเข้าหาเขา ไปไหนมาไหนหรือกินอะไร เรามักจะออกตังให้เขาเสมอ (มูลค่าโดยรวมที่เสียให้คนๆนี้น่าจะหลักหมื่น)
แรกๆก็เหมือนจะดี แต่พอเวลาต่อมา เขาจะเริ่มเย็นชา และบอกกับเราว่า “เราอายเวลาที่เดินกับเธอ” ต่อมาก็ใช้คำพูดเย็นชามากขึ้น แต่เราก็พยายามทนเพียงเพราะว่าเรารักเขา จนสุดท้ายเขาไปมีแฟนเป็นผู้หญิง และบอกไม่ให้เราไปยุ่งกับเขาอีก เขาได้พูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าทนไม่ไหวก็ฆ่าตัวตายไปซะ ก. ไม่ได้อยากแม้แต่จะเป็นเพื่อนกับ ม. เลยด้วยซ้ำ และอย่าลืมอัพรูปตอนกรีดข้อมือตัวเองลง Hi5 ด้วยล่ะ” ซึ่งเป็นคำที่ทำให้เราเสียใจที่สุด แถมแฟนที่สวยและน่ารักของเขาก็ยังมาดูถูกเราและเยาะเย้ย ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้นยอมรับว่าเคยฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่สุดท้ายคนที่ดึงเราให้กลับมาเหมือนเดิมก็คือ “ครอบครัวของเรา” นั่นเอง”
“คุณยายและแม่จะบอกเราเสมอว่า “ถึงเราจะโกรธแค้นเขา แต่ก็ห้ามทำร้ายเขาหรือตัวเองเด็ดขาด เพราะทุกอย่างมันเป็นกรรมที่เราเคยทำร่วมกับเขา ต้องอโหสิกรรมให้เขาแล้วเราก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วเรื่องดีๆ คนดีๆจะมาหาเราเองซักวัน” เพราะคำพูดนี้ เราเลยพยายามปรับตัวใหม่ พยายามคิดเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มตั้งใจเรียน เริ่มลองหางานทำ”
“แต่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย บางเรื่องท้อแท้ไปเลยก็มี จนมีอยู่วัน หนึ่งที่เราเดินผ่านร้านขายของเล่นแล้วไปเจอตุ๊กตาบาร์บี้เรียงรายอยู่เต็ม ไปหมด บวกกับตอนนั้นที่เริ่มมีซีรีย์ “Barbie Life In The Dreamhouse” ออกมาใหม่ๆพอดี เราซึ่งชื่นชอบในบาร์บี้อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เรากลับมาติดตามบาร์บี้แบบจริงจังอีกครั้ง และเกิดความคิดว่าเราอยากจะสวย หุ่นดี เหมือนบาร์บี้บ้าง ตอนนั้นเลยมีความคิดว่า “ถ้าเราเปลี่ยนใครซักคนมารักเราไม่ได้ เราก็น่าจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นในแบบที่เราอยากเป็นดูดีกว่า”
“จากนั้นเราเลยเริ่มมีความคิดแรกคือ ลดน้ำหนักให้ผอมลงกว่าที่เป็นให้ได้ โดยที่ระหว่างนั้น คนที่รู้ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงก็มักจะบอกว่า เราทำไม่ได้หรอก เพราะวันๆเราเอาแต่กินๆทั้งวัน ซึ่งเราก็พยายามลบคำสบประมาท โดยใช้วิธีลดโดยธรรมชาติ นั่นคือ ปกติกินข้าว 5 มื้อ/วัน พร้อมของหวานของทอดต่างๆ ก็กินข้าวเพียง 3 มื้อตามคนปกติ และไม่แตะของมัน ของทอด หรือทานแป้งเยอะๆ เวลาทั้งวันช่วงนั้นหมดไปกับการวิ่ง และการหาเมนูลดน้ำหนักตามอินเตอร์เน็ต บางครั้งก็ไม่กินเนื้อสัตว์ไประยะหนึ่งเลย”
“พอเราเห็นรูปร่างของเรา บวกกับมีคนทักว่าผอมลง นั่นทำให้เรามีกำลังใจ และความมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนัก แต่พอน้ำหนักลดแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ก็คือการดูแลตัวเอง ซึ่งจากปกติที่เราไม่เคยใช้โลชั่น หรือครีมบำรุงผิวใดๆเลย เราก็ต้องเริ่มที่จะซื้อและหัดใช้ และ โชคดีมากที่เราได้รู้จักกับพี่ๆที่เป็นพริตตี้ เอ็มซีอยู่บ้าง เขาก็แนะนำในเรื่องของความสวยความงาม โดยที่เราไม่ต้องไปสุ่มเสี่ยงกับครีมกิโล หรือครีมที่ขายในเน็ต เพราะพี่ๆเขาจะแนะนำครีมที่ขายตาม DrugStore เซเว่น เคาท์เตอร์แบรนด์ หรือร้านที่น่าเชื่อถือให้
นอกจากจะทำให้ผิวเราดีขึ้น เรายังได้ใช้ของที่มั่นใจว่าปลอดภัย นอกจากนี้พี่ๆเหล่านั้นยังสอนให้เรารู้จักเทคนิคการแต่งหน้า และการเลือกใช้ของต่างๆ ตลอดจนเริ่มหัดที่จะใส่บิ๊กอาย ทำให้เราสามารถเก็บเกี่ยววิชาเหล่านั้น และพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละนิด โดยที่ไม่ได้ผ่านการทำศัลยกรรมเลยแม้แต่น้อย และนอกจากเปลี่ยนแปลงภายนอกแล้ว เรายังเปลี่ยนแปลงภายในด้วย เช่น พยายามสวดมนต์ ศึกษาธรรมะ พยายามไม่คิดร้ายกับใคร ไม่พูดจาหยาบคาย พยายามคิดดีทำดี เพราะบาร์บี้ในการ์ตูนนั้นดีทั้งรูปร่างและจิตใจ นอกจากนี้ก็พยายามพัฒนาทักษะความสามารถให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งในด้านภาษา และด้านการพูด”
“ในที่สุดเราลดน้ำหนักไปได้เหลือ 55 kg. จากปกติอยู่ที่ 80 กว่าๆ!! จนสามารถไปแคสงานต่างๆได้ และก็ได้มีโอกาสทำงานให้กับบาร์บี้ ในฐานะ MC และพรีเซนเตอร์คอยแนะนำสินค้าและการเล่นให้กับเด็กๆ ซึ่งเราเองก็ใช้ความรักในตัวบาร์บี้และเด็กๆ ทำงานต่างๆด้วยหัวใจ และส่วนตัวนอกจากทำงานให้บาร์บี้แล้วก็ยังสะสมตุ๊กตาบาร์บี้เองด้วยค่ะ จนปัจจุบันนี้มีตุ๊กตาบาร์บี้ทั้งหมดประมาณ 80 กว่าตัวแล้ว
และนอกจากทำงานไปด้วย เราก็พยายามอัพตัวเองให้เหมือนบาร์บี้ไปด้วยทั้งภายนอกและภายใน โดยเน้นคอนเซปต์ “ไม่ทำร้ายตัวเองโดยการอดอาหาร หรือศัลยกรรม เหมือนกับมนุษย์บาร์บี้ในต่างประเทศโดยเด็ดขาด””
“จากสิ่งต่างๆที่เราได้เปลี่ยนแปลงไปนั้น ก็ทำให้มีโอกาสต่างๆเข้า มามากมาย ซึ่งตอนนี้นอกจากจะเป็น MC และพรีเซนเตอร์ของบาร์บี้อย่างเดียวแล้ว เรายังได้รับโอกาสจากเจ้าของงานข้างนอกต่างๆให้ไปเป็นพิธีกรตามงานประกวด เด็กอีกด้วย ส่วนตัวแล้วเราคุ้นเคยกับเด็ก รักเด็กอยู่แล้ว และมีประสบการณ์จากการทำงานให้กับบาร์บี้ ทำให้งานข้างนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ยากเย็นนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงในคอนเซปแต่งตัวตามสไตล์บาร์บี้ของเราเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้เด็กๆและผู้ปกครองที่ติดตามบาร์บี้ชื่นชอบ รวมถึงเจ้าของงานหลายๆงานก็ไม่เคยมองเราในเรื่องเพศเลย เพราะเขาบอกว่า “คนเก่งๆมีเยอะ แต่คนที่เก่งและเข้ากับเด็กได้จริงๆนั้นหายาก””
“เราอาจจะไม่ได้สวยเท่าบาร์บี้ของจริง แต่เราก็รู้สึกภูมิใจและก็ดีใจมากๆที่มาถึงจุดนี้ได้ และบาร์บี้ก็ได้เป็นไอดอลและแรงบันดาลใจให้เอทำตามความฝันมาตลอดจนถึงทุก วันนี้ บาร์บี้ไม่ใช่แค่ของเล่นเด็กผู้หญิง แต่เธอคือตัวแทนที่อยากบอกกับสาวๆทุกคนว่า ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น เพราะทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ Anything Is Possible!!”
สุดท้ายนี้ คุณเอมิลี่ยังให้กำลังใจทุกๆคนที่อยากจะลุกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกด้วย “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ระลึกไว้เสมอว่า ทุกคนมีความสวยหล่อในตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักตัวเองได้มากแค่ไหน และพอเราหาตัวเองเจอแล้วว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร จงทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถ ด้วยความรับผิดชอบ และทำด้วยหัวใจ เชื่อว่าถ้าเราทำอะไรเต็มที่ สิ่งดีๆก็จะตามมาเอง”
ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการปรับเอาสิ่งที่ชื่นชอบมาเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยไม่ทำให้ตัวเองหรือคนรอบข้างเดือดร้อนเลยนะคะ สาวๆคนไหนที่อ่านจบแล้วอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง ก็ขอแนะนำให้เอาข้อคิดจากคุณเอมิลี่ไปปรับใช้ดูนะคะ รับรองค่ะ ว่าถ้าสาวๆตั้งใจจริงๆแล้ว ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่สวยงามตามมาแน่ๆ!! “Anything Is Possible!!”
เรียบเรียงโดย raraROBYN
ที่มา dek-d