สาวทุกคนย่อมเคยเจอปัญหาติดนิสัยแคะ แกะ เกาผิวหนัง ตุ่ม สิว หรือแม้แต่เศษเล็บที่ฉีกออกมาเป็นเส้นเล็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้แกะ ได้เกา ได้แคะแล้ว มันทำให้เรารู้สึกดีมากๆเลย ณ จุดนั้น แต่โชคไม่ดีที่นิสัยแบบนี้มันส่งผลเสียในระยะยาวและแน่นอนว่าสาวๆทุกคนย่อมรู้ แล้วทำไมเรายังหยุดไม่ได้นะ?! Girlsallaround.com มีคำตอบค่ะ!!
สาเหตุที่เราแคะ แกะ และเกา
1. สาเหตุแรกเลยก็คือ ‘มันเหมือนเป็นการปลดปล่อยอะไรสักที่หนักมากๆอย่างออกไป’ ค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีต่อผลในระยะยาว แต่เราจะรู้สึกโล่งมากๆเมื่อเอาสิ่งเหล่านั้นออกไปได้ ซึ่งความรู้สึก ‘ฟิน’ นี่แหล่ะ ที่ทำให้เราหยุดแคะ แกะ เกา กันไม่ได้สักที
2. สาเหตุที่สองก็คือ ‘เพราะเศษเล็บ ตุ่ม และสิวมันเจ็บ’ และทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็ต้องรับรู้ได้ถึงความเจ็บ เพราะฉะนั้นการแคะ แกะ เรา ก็เลยเป็นวิธีการลดความเจ็บนั้นๆค่ะ
3. สาเหตุต่อมา คือ ‘เป็นการระบายความกังวล’ เพราะเมื่อเรารู้สึกกังวล เราย่อมอยากจะหาทางระบายอะไรสักอย่าง บางคนอาจจะสูบบุหรี่ บางคนอาจจะเล่นผม และบางคนอาจจะแคะ แกะ เกาสิว ตุ่ม และเศษเล็บ ทั้งหมดก็เพื่อต้องการระบายความอดอัดใจออกมานั่นเองค่ะ
ปัญหาย่อมมีวิธีแก้ไข
วิธีการแก้ไขนิสัยเหล่านี้อาจจะยากสักหน่อย เพราะแน่นอนว่าอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี เราก็อยากจะทำต่อไปกันทั้งนั้น ทางแก้ไขนิสัยแคะ แกะ เกาที่ดีที่สุดก็คือการแทนนิสัยเหล่านี้ด้วยนิสัยอย่างอื่นแทนค่ะ ก็คือเราจะต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้แคะ แกะ เกานั่นเอง
ถ้าสาวๆติดนิสัยแกะ แคะ เกาพวกสิวและตุ่มต่างๆ ให้แก้ไขด้วยการรักษาแทนที่จะทำลายมันค่ะ โดยให้ใช้ครีมบำรุงหรือเจลบำรุงทาบริเวณนั้นแทน เพราะการบำรุงก็ถือเป็นการเยียวยาและทำให้เจ็บน้อยลง แต่ไม่ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวด้วย
ถ้าสาวๆติดนิสัยแกะ แคะ ดึง หรือแม้แต่กัดเศษเล็บ ให้ลงทุนเข้าร้านทำเล็บอย่างดี เพื่อให้ช่างทำเล็บตัดแต่งเล็บให้โดยไม่มีโอกาสที่จะเกิดเศษเล็บต่อไป หรือถ้าสาวๆไม่ได้ชื่นชอบการทำเล็บเป็นทุนเดิม ให้เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อลดความอยากในการกัดแทนค่ะ
ฟังดูแล้วมันง่ายๆมากๆ แต่จริงๆแล้วไม่ได้ง่ายเลยนะคะ เพราะสิ่งที่จะช่วยให้การแก้ไขนิสัยสำเร็จได้ก็คือการหักห้ามใจตัวเองค่ะ การที่คิดว่า ‘แกะนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก’ ย่อมทำให้นิสัยนั้นแก้ไม่หายค่ะ Girlsallaround.com ก็ขอเป็นกำลังใจให้สาวๆที่ต้องการแก้นิสัยเหล่านี้นะคะ สู้ๆค่า!!
แปลและเรียบเรียงโดย raraROBYN
ที่มา womenshealthmag